สามารถอ่านทั้ง Series ได้ตาม Link ด้านล่าง (ปัจจุบันออกมาทั้งสิ้น 6 EP)
EP: 3 เป้าหมายต้องยากลำบาก ถ้าพลาดต้องเดือดร้อน
EP: 4 ปัญหาต้องมา ความขัดแย้งต้องมี วิกฤติต้องเกิด
วันนี้เราเริ่มกันที่ EP.1 “เปิดเรื่องให้โดน”
เหมือนจะดูไม่ได้สำคัญมาก แต่กลายเป็นโคตรสำคัญในยุคนี้เลยครับ โลกวันนี้เรื่องเวลาเป็นเรื่องสำคัญ ทุกอย่างต้องการความเร็ว ดู Tiktok ไม่น่าสนใจในสองวินาทีแรกนิ้วปัด อ่านนิยายออนไลน์ย่อหน้าแรกแลดูจะย้วยๆเราเปลี่ยนเรื่อง อ่านการ์ตูนครึ่งตอนแรกแลดูไม่น่าจะโอเคปัดทิ้งเปลี่ยนเรื่องใหม่ ดูหนังในยุค M Pass Scene แรกดูไม่น่าสนใจเดินออกได้ ใน Streaming ไม่ต้องพูดถึง
เสียเงินซื้อหน้าสือมา หนังสือไม่ดีเรายังกองๆไว้ได้ไม่เสียดายเงิน พออ่านแล้วรู้ว่าไม่ดีโคตรเสียดายเวลา ใช่มั้ยครับ คิดอย่างนี้กันใช่มั้ย ในฐานะที่เราเป็นผู้เสพเรื่องราวเรายังคิดอย่างนี้ แล้วเวลาเราเขียนจงรู้ไว้เถอะว่าคนดูคนอ่านเขาก็คิดเหมือนกัน เขาจะเสียเวลาทดลองในช่วงต้นๆ เขาให้โอกาสเราแค่แป๊บเดียวเท่านั้น หน้าที่ของเราคือต้องตกเขาให้ได้ตั้งแต่การเปิดเรื่อง ตามหัวข้อเลยครับ เปิดเรื่องให้โดน
คำถามใหญ่คือ… แล้วมันต้องทำยังไงล่ะ???
การเปิดเรื่องคือ First Sequence มันคือช่วงเวลาแรกของเรื่องของเรา เท่าที่เราเห็นๆกันมา แต่ละเรื่องก็จะเปิดเรื่องด้วยกลวิธีแตกต่างกันไป เป้าหมายคือ
1. Set mood หลักๆให้ผู้เสพเรื่องราวรู้ว่า เขากำลังจะเจอกับอะไร
2. วางเงื่อนไขสำคัญในการเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป
3. ตรึงคนดูให้รู้สึกกับเรื่องราวของเรา และพร้อมจะเดินหน้าไปต่อ
แต่บางครั้งเราก็คิดไม่ออกเนอะ งั้นเราลองมาดูกันว่าโดยปกติที่เราเคยเห็นทั่วๆไป เรื่องแต่ละ Genre เค้าเปิดเรื่องแบบไหนกันบ้าง
- ในเรื่องแนวสยองขวัญ เราเลยมักต้องเปิดด้วยการตายของใครบางคน ผีหลอกใครซักคน ไม่ต้องเป็นตัวหลัก ตัวเอกก่อนได้นะ ดีไซน์ออกมาให้เจ๋งๆ น่ากลัว คาดไม่ถึง อยากฉากใน Scream ภาคแรกนี่ก็ดูชวนช็อค และอาจจะทำหน้าที่บอกเงื่อนไขบางอย่างไปด้วย เคาะกระจกสามครั้งแล้วจะเจอแคนดี้แมนไรงี้
- ในเรื่องแนวแอคชั่น หลายครั้งเชียวทีมักเปิดด้วยเรื่องภารกิจตัวร้าย การเตรียมตัว การวางแผน อย่างใน The Dark Knight ก็เปิดเรื่องด้วยปฏิบัติการของ Joker ที่หลายเรื่องเปิดตัวร้ายก่อนก็เป็นการปู เพราะพอเข้าไปในเรื่องแล้วอาจจะมีพื้นที่ปูพื้นได้น้อย หรืออีกแบบก็จะเป็นความผิดพลาดของตัวเอก ซึ่งต่อไปอาจจะเป็นเงื่อนไขของตัวละครของเรา อย่างเช่นใน Speed ก็จะเปิดด้วยฉากที่เขาจัดการกับตัวร้ายในลิฟท์ แต่แน่นอนไม่ว่าอย่างไรก็ตามทั้งหมดนั้นมักอยู่ในรูปลักษณ์ของฉากแอคชั่น
- ในเรื่องแนวโรแมนติก ดราม่า คอเมดี้ ทำได้หลายแบบเลย บางครั้งก็เปิดเงื่อนไขพิเศษบางอย่างของตัวละคร สามแนวนี้เริ่มต้นมักจะเน้นไปที่ตัวละครเนอะ ต้องเป็นเหตุการณ์ที่บอกบางอย่างของตัวเอก ดราม่าก็อาจจะบอกเงื่อนไขชีวิต อย่างใน Parasite เปิดด้วยฉากใช้ชีวิตในห้องที่ต่ำกว่าถนนในโซล โรแมนติกส่วนใหญ่ที่เห็นหลายครั้งมักเปิดด้วยเงื่อนไขหลักบางอย่าง อย่างใน Notting Hills ก็จะเปิดให้เห็นความโด่งดังของแอนนา สก็อตท์ หนังตลกอาจจะใช้ weak เพื่อจะพาไปสู่การกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หรือการผิดฝาผิดตัวของตัวละครเอก อย่างฉากเปิดใน Lier Lier เปิดเรื่องด้วยการถามเด็กๆในห้องเรียนว่าพ่อแม่ทำงานอะไร ลูกชายของตัวเอกตอบว่า Lier (คนโกหก) หลังจากที่อธิบายถึงอ๋อว่าเป็นทนายความ ( Lawer ) แต่เด็กกลับทำหน้าแบบก็แล้วแต่นะ (ส่วนตัวชอบ First Sequence อันนี้มาก ง่าย แต่ทรงพลัง)
- ในเรื่องแนววิทยาศาสตร์ หรือแฟนตาซีมักจะเปิดด้วยการแนะนำโลกใบใหม่ที่คนดูไม่เคยรู้จัก และแนะนำเงื่อนไขใหญ่ๆของโลกใบนั้น อย่างใน Lord of the ring ก็เล่าตำนานแหวน ใน The terminator ก็เล่าให้เห็นสงครามในโลกอนาคตระหว่างคนกับหุ่นยนต์
แต่ไม่ได้หมายความว่าแต่ละแนวจะต้องเป็นแบบนี้เสมอไปนะครับ สุดท้ายแล้วเราดูวัตถุประสงค์ บางครั้งเราอาจจะเอาเหตุการณ์บางอย่างในเรื่องในช่วงเวลาที่เหมาะสมมาเปิดก่อนก็ได้ อย่างเช่นใน MI:3 ที่เปิดจากฉากที่ตัวร้ายจะยิงเมียพระเอก หรือจะเปิดเรื่องแบบมีความเป็นนามธรรมบางอย่างก็ได้ อย่างใน Gone Girl ที่เราเห็นแค่ด้านหลังหัวพร้อมกับคำอธิบายของตัวเอก ก็ทำให้เรารู้สึกบางอย่างได้และอยากใจจดจ่อรับชมมันต่อ
เรียกได้ว่าเอาจริงๆไม่ได้มีกฏเหล็กอะไรขนาดนั้น ทำตามที่เรารู้สึก ทำตามที่เราชอบก่อนก็ได้ แต่ถ้าคิดอะไรไม่ออกลองขึ้นไปดูข้างบนอีกครั้ง แล้วทำตามแผนแม่บทก่อนก็ได้ครับ ถ้าคิดอะไรออกแบบที่เจ๋งกว่า ก็ลองปรับปรุงดูครับ ค่อยๆปรุงให้มันเจ๋ง อย่าลืม 3 ข้อที่พูดถึงข้างบน เราต้องทำให้ผู้เสพเรื่องราวไปต่อกับเรานะ
… ลองดูฉากเปิดของเราบ้างกันครับ ว่ามันทำหน้าที่ได้ครบถ้วน และมันเจ๋งพอรึยัง…