บทความนี้จะพาให้ทุกคนได้รู้จักว่าหนึ่งในข้อผิดพลาดมากที่สุดสำหรับคนนักสร้างเรื่องมือใหม่ นั่นคือ
“ไม่แม่น ไม่ชัดเจนในแนวเรื่องที่ตัวเองจะทำ”
ส่วนใหญ่นักสร้าง Story จะรู้จักกับคำว่า แนวเรื่อง
แต่เมื่อถามว่ามันสำคัญยังไง …คำตอบที่ได้มักจะเป็น ทำให้เรารู้ขนบของเรื่องแนวนั้นๆ รู้วิธีเขียน ชัดเจนในรูปแบบ เข้าใจวิธีการถ่ายทอด แต่พอเวลาจะเขียนเรื่องจริงๆ ขึ้นมา หลายครั้งแนวเรื่องก็ลดบทบาทลง หรือบางทีก็สับสนตอนเล่าเรื่อง
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะเดี๋ยวนี้เนื้อเรื่องก็มีการรวมกันหลากหลายแนวทางมากขึ้น บางทีเห็นหนัง ละคร นิยาย การ์ตูนต่าง ๆ แนวก็ยาวเป็นหางว่าวเลย เช่น Drama + Adventure + Sci-Fi + Comedy อะไรแบบนี้… ก็ไม่แปลก เพราะแนวเรื่องพัฒนามาตามผู้บริโภคได้
เวลาคิดแบบคนทำ บางทีเราก็อยากเล่าเรื่องแหวกขนบ ฉีกกฏทุกสิ่งอย่าง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่เวลาทำเรื่องที่หวังจะให้แมส สื่อสารกับคนจำนวนมากและอยากทำกำไรด้านการค้าจากมัน แนวเรื่องจะกลายเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ของการพิจารณากันเลยทีเดียวค่ะ
เพราะ
“แนวเรื่อง” เท่ากับ “คนดู คนอ่าน คนติดตาม”
ย้อนกลับมาที่ตัวเราเอง เวลาใครซักคนชวนเราไปดูหนัง คำถามแรกที่มาก่อนหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไรหรือหนังเรื่องนี้ใครเล่นก็คือ “มันเป็นหนังแนวไหน” หากเราไม่ชอบหนังผี เราได้ปฏิเสธไปตั้งแต่ต้นๆ เลยว่า เราไม่ดูหนังผี
แนวเรื่องมันก็จะมีขนบของแต่ละแนว ที่ทำให้คนติดตามคาดหวังในสิ่งที่จะได้เห็น และเขาจะต้องได้เห็น มันมีรสชาติที่คนดูอยากสัมผัสและเขาคาดหวังที่จะได้สัมผัส
- แนว Action คือเรื่องบู๊ เราต้องการความมัน สะใจ
- แนว Romantic คือเรื่องรัก เราต้องการความซาบซึ้ง กินใจ และฟินในเรื่องของความรัก
- แนว Horror คือเรื่องสยองขวัญ เราต้องการความน่ากลัว ขนหัวลุก
- แนว Thriller คือเรื่องระทึกขวัญ เราต้องการความลุ้น ระทึก หายใจไม่ทั่วท้อง
แต่เดี๋ยวนี้มันก็ซับซ้อน เพราะว่าผู้บริโภคมีความคาดหวังในสิ่งที่จะได้เห็น แต่เขาก็อยากได้เซอร์ไพร์สเหมือนกัน จุดนี้กลายเป็นจุดที่ยากมากขึ้น เพราะเราต้องนำเสนอในสิ่งที่เขาคาดหวัง แต่เราเองก็ต้องเซอร์ไพร์สเขาให้ได้ด้วย
ไม่ว่าจะใช้กลวิธีไหนก็ตาม เรื่องที่ทำได้ตามขนบเฉยๆ ตามระเบียบแบบแผนตรงโครงสร้าง ชัดเจน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหนังกลางๆ ไม่ได้โดดเด่น แต่เอาตัวรอดได้ แต่หากเป็นเรื่องที่มีการจัดเซอร์ไพร์สไม่ต้องชุดใหญ่ แต่ดอกเดียวหนักๆ ให้หงายหลัง ก็อาจจะโดดเด่นขึ้นมาก็ได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเซอร์ไพร์สแบบลืมคำนึงเหตุคำนึงผล ความอิหยังวะก็จะเกิดขึ้นได้เหมือนกัน
- บอกจะทำเรื่องผี สยองขวัญ ครึ่งเรื่องผ่านไปผียังไม่มาซักตัว
- บอกจะทำเรื่องรัก ผ่านไปจนใกล้จบ ตัวละครหลักเรายังไม่เจอเนื้อคู่
- บอกจะทำเรื่องแอคชั่น ทั้งเรื่องยังไม่มีใครจะซัดกับใครเลย
แต่แนวเรื่องในการจำกัดความแบบ Story Bowl Society เราจะแบ่งมันออกเป็น 3 แบบด้วยกัน ประมาณนี้ค่ะ
แบบแรกคือแบ่งจาก Mood
อันนี้เป็นขนบดั้งเดิมเลยค่ะ แบบที่เราคุ้นเคยกันตามตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น Action Drama Romantic Comedy Horror Thriller Suspense อันนี้จะว่าด้วยเรื่องอารมณ์ภายในมีขนบที่ชัดเจน
แบบต่อมาคือแบ่งจากหน้าตา แต่ขอเรียกว่าแบ่งจาก Tone
Sci-fi Fantasy Adventure Sport Hero สู้เพื่อฝัน คู่หู Story เกี่ยวกับนักกีฬา รถแข่ง นักดับเพลิง เกมธุรกิจ ขึ้นโรงขึ้นศาล เหล่านี้ดูตามหน้าตาภายนอกของมัน ยิ่งในยุคที่มีความเฉพาะกลุ่มมากขึ้นเหมือนเราจะต้องชี้ชัดลงไปในกลุ่มนั้นๆ ให้ชัดมากขึ้น …ใครๆ ก็น่าจะอยากติดตามเรื่องแวดวงของตัวเองกันเนอะ
แบบสุดท้าย เอาทุกอย่างมาปั่นรวมกัน เรียกว่า Hybrid
- คู่หู(Partner) Action Comedy = Rush Hour.
- สายลับ Comedy Action = Johnny English
- Monster Sci-fi Horror = Aliens
- Super Hero Action Romantic = ww84
- Super Hero Action Adventure Comedy = Guardian of Galaxy
- Super Hero Drama Action = Batman
วันนี้การสร้าง Story ตาม Mood เพียวๆ ไม่มีแล้ว เราเอาทุกอย่างมา Hybrid กัน ยิ่งแนวเยอะในการ Hybrid บางทีเราคิดว่ากลุ่มเป้าหมายมันอาจจะกว้างขึ้น แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นไม่แน่ มันอาจจะส่งผลกลับกัน มันอาจจะกลายเป็นแคบลง ซึ่งอันนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของการตลาดเขาวิเคราะห์ไป
หน้าที่ของเราในฐานะคนสร้างเรื่อง เราต้องนำเสนอแบบตามใจผู้บริโภค อยากเห็นแนวอะไรก็ใส่สิ่งที่เขาควรจะต้องเป็นในหนังแนวนั้น …แต่ก็อย่าลืมมอบเซอร์ไพร์สให้พวกเขาด้วย เรื่องที่จู่ๆ Twist แนวก็มีมาแล้วค่ะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ มีโอกาสทดลองได้ก็ลองทดลองดูนะคะ