“คุณแจม” ผู้ใช้แพสชั่นในการสร้างงานเขียน แต่วันหนึ่งกลับหมดไฟ…สู่จุดเริ่มต้นของการแสวงหาความรู้
วันนี้ Story BOWL ชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ “แจม-ปุญญิศา เกลียวทอง” นักธุรกิจสาวผู้รักในงานเขียน และบอกกับตัวเองว่าเธอจะลงมือเขียนให้ได้ทุกวัน! เธอเคยสร้างผลงานลงแพลตฟอร์มบนโซเชียลมีเดียกว่า 20 เรื่องและมีนักอ่านติดตามผลงานของเธอมากมาย แต่แล้ววันหนึ่งคุณแจมก็พบว่าตนเองหมดไฟในการเขียน แล้วเธอทำอย่างไรเพื่อกลับมาสร้างสรรค์ผลงานของเธออีกครั้ง และรักในผลงานตัวเองมากกว่าเดิม หากเพื่อนๆ คนไหนเคยประสบเหตุการณ์แบบนี้เหมือนคุณแจม ลองมาฟังเรื่องราวของเธอกันดูค่ะ
สวัสดีค่ะ แจม ปุญญิศา เกลียวทอง ตอนนี้เป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องจักรและเขียนนิยายขายเป็นกึ่งงานอดิเรกค่ะ เพราะเป็นทั้งรายได้หลักและรายได้เสริมเข้ามาในเวลาเดียวกัน แต่ที่โฟกัสให้ชัดกับงานเขียนให้มากขึ้นเพราะงานเขียนเป็นมากกว่าความชอบแต่แจมเชื่อเสมอว่าเป็นความรัก เราจึงอยากทำสิ่งที่รักออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ พัฒนาให้ดีในทุกครั้งที่เขียนงานออกมา เพื่อให้งานนั้นควรค่าแก่การเป็นความรักของเราค่ะ ก็เลยจะมีความรู้สึกว่างานเขียนเป็นทั้งงานอดิเรกก็ได้ เป็นทั้งงานประจำได้เพราะเราเขียนทุกวันจนเป็นนิสัย
จุดเริ่มต้นของงาน
เริ่มต้นจากชอบอ่านก่อน ชอบอ่านมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ตอนนั้นที่บ้านไม่ได้มีเงินมากพอที่จะไปซื้อหนังสือมาอ่านเป็นของตัวเอง จึงต้องอาศัยไปเช่าห้องสมุดชุมชนมาอ่าน วิธีการก็คือต้องไปทำงานกับน้า ไปช่วยเขาขายของแล้วก็แอบออกมาเช่าหนังสือไปอ่านค่ะ ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเป็นความสุขอย่างเดียวที่ทำให้เราไม่ต้องเครียดไปกับสิ่งรอบตัวในวัยเด็ก พออายุประมาณ 17-18 ปี ตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่าอยากจะลองเขียนหนังสือดูบ้าง แต่มันก็เป็นความรู้สึกแบบเด็กๆ แล้วเราก็ได้ลองเขียนดู แต่ก็ยังเขียนไม่จบ
“คิวบิก” นิยายที่จุดประกายให้กลับมาเริ่มงานเขียน
ช่วงอายุ 22 ปีได้มาอ่านเรื่องหนังสือนิยายเรื่อง “คิวบิก” เป็นความรู้สึกที่เราอ่านแล้วอยากจะไปเห็นภาพจริงของสถานที่นั้น มีความรู้สึกว่าคนเขียนเขาเขียนได้ชัดเจนดี ดึงเราเข้าสู่อารมณ์ร่วมได้เยอะมากจนเราดิ้นรนที่จะไปเหยียบแผ่นดินฮ่องกงสักครั้ง อยากไปยืนในจุดที่นางเอกยืน ซึ่งตอนที่ไปเห็นทุกสิ่ง ก็มีความคิดแวบขึ้นมา ว่าเราเองก็เคยอยากเป็นนักเขียนนะ มันคงดีถ้าเราสร้างงานเขียนขึ้นมาแล้วนักอ่านจินตนาการภาพตามได้ และมีความรู้สึกว่าอยากไปสถานที่นั้นเหมือนที่เราเขียนไว้ พออายุประมาณ 27 ปี ซึ่งตอนนั้นทำงานเกี่ยวกับการเขียนแบบ ออกแบบเครื่องจักร ตัวงานจะทำให้เราอยู่ในสภาวะเครียด กดดันสูง มีความเครียดถึงที่สุด จนต้องหาทางออกให้ตัวเองว่าเราจะทำอย่างไรดีที่ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น ก็เลยไปหยิบนิยาย “คิวบิก” มาอ่านอีกครั้ง อันที่จริงเรื่องนี้เป็นนิยายที่อ่านซ้ำหลายรอบมากแม้ว่าจะมีถึง 4 เล่มจบ แต่เราก็ยังชอบ อ่านแล้วอ่านอีก และก็ถามตัวเองอีกครั้งว่าลองเขียนดูไหม ลองเขียนเรื่องอะไรก็ได้สักเรื่องดู ก็เลยไปเปิดเว็บธัญวลัย แล้วเราก็เริ่มเขียนเรื่องแรกของเราขึ้นมา
เริ่มต้นเขียนจากการขอคำแนะนำจากนักอ่าน
เราอ่านมาเยอะพอสมควร แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะเขียนออกมาดีไหม ก็เลือกที่จะบอกกับนักอ่านไปตามตรงเลย ว่าเราเองเป็นมือใหม่ ขอคำแนะนำจากนักอ่านรายตอนด้วยว่าเราบกพร่องตรงไหน เพราะเราจะเขียนในลักษณะที่เราชอบ แต่ไม่รู้ว่ารายละเอียดหรือโครงสร้างเรื่องมีอะไรบ้าง โชคดีที่นักอ่านให้ความสนใจ ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เขาแนะนำและก็บอกข้อบกพร่องให้เราเป็นรายตอนเลยค่ะ ถึงตอนนี้ก็ยังมีนักอ่านหลายท่านที่ยังอยู่ในชีวิตเราตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งจุดนี้ทำให้เรารู้สึกว่าเราควรให้เกียรติเขาเป็นอย่างมาก ยิ่งได้รับคำชมว่าเขียนดีขึ้นจากคนที่อ่านงานของเรามาตั้งแต่วันแรก เรายิ่งมีความสุขและมีแรงใจที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป
แต่แจมจำตอนที่โดนติครั้งแรกได้ไม่ลืมเลย คือนักอ่านบอกว่า เราใจอ่อนกับตัวร้ายเกินไปหน่อย ด้วยความคิดส่วนตัวแจม ที่มักคิดว่าคนเราสามารถให้โอกาสกันได้ แต่ในมุมของงานเขียนคนอ่านจะมองว่าไม่ได้ คนทำเลวต้องได้รับผลกรรมอะไรประมาณนั้น นี่ก็ถือเป็นจุดอ่อนที่เราพยายามแก้ไข ซึ่งหลังจากที่มีคนมาช่วยอ่านและคอมเมนต์งานให้บ้าง ก็นำคำแนะนำนั้นมาปรับใช้ พยายามทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ งานที่เขียนออกมาลงตัวในจุดที่เราโอเค คนอ่านประทับใจและมองว่าสมเหตุสมผลสำหรับตัวละครนั้นๆ
20 เรื่องที่ผ่านมากับการด้นสด?
20 เรื่องที่ผ่านมาใช้การด้นสดล้วนๆ อันที่จริงก็มีไอเดียอยู่ในหัวเรา เราเห็นภาพในหัวค่อนข้างชัดประมาณหนึ่ง แล้วเราก็ปล่อยไหลไปเลย จำได้ว่าตอนนั้นเข้าไปหาดูแนวนิยายว่าคนให้ความนิยมกับนิยายลักษณะไหน จากนั้นก็ลองเขียนออกมาในแบบที่เราชอบแต่ยังไม่ดีนัก ก็เลยลองเขียนนิยายรักตามฉบับนิยมสักเรื่อง คือพระเอกอาจจะทำตัวไม่น่ารักกับนางเอกสักหน่อยในช่วงแรก ปรากฏว่าผลตอบรับดีกว่าที่คิดเอาไว้ แล้วคนก็ชอบมากด้วย พอเราได้เขียนไปสัก 30% ของเรื่อง ก็เริ่มรู้สึกว่าเราอยากพลิกให้ตัวละครทำอะไรก็ได้ที่ทำให้คนลืมจุดเลวที่สุดของเขา ก็เลยลองแก้ไขและปรับไปเรื่องไป เอาสถานการณ์วัดใจมาพลิกความคิดของเขา อยากให้มีเหตุการณ์แบบไหน จบยังไง เรามีจุดนี้ที่ชัดอยู่ในหัวแล้วก็เลยเขียนได้จนจบ แต่ปัญหาคือเรามีแค่เส้นเรื่องในหัว เขียนไปด้นสดไป บางทีก็ทำให้เรื่องส่วนใหญ่ก็กลายเป็นเส้นตรงๆ เส้นเดียวเหมือนกัน
ท้ายที่สุดกลายเป็น “ไอเดียตัน เขียนไม่ออก”
เป็นปัญหาใหญ่ในปี 2564 ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนพฤษภาคมค่ะ เป็นปัญหาที่หนักหน่วงมากสำหรับตัวเรา เพราะตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเขียนอะไร เราเบื่อ…ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองชอบอะไร ร้ายที่สุดคือเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริงของตัวเองเสียด้วยซ้ำ ภาวะนั้นบีบให้เราอยู่เฉยไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าถ้าปล่อยให้ตัวเองเป็นอย่างนั้นเกิน 6 เดือน เราจะชินกับคำว่า…ไม่เป็นไรไม่ต้องเขียนก็ได้
แจมจะโชคดีหน่อยตรงที่เราชอบกำหนดวินัยให้ตัวเอง ทำให้เราเห็นปัญหานั้นได้ไว ซึ่งส่วนใหญ่เวลาเริ่มต้นเขียนจะไม่ค่อยติดหรือไม่เจอปัญหาระหว่างเขียนสักเท่าไหร่ แต่จะพบเจอปัญหาตอนเริ่มต้นเฉยๆ ซึ่งปัญหาก็คือเราเริ่มไม่ได้ ไม่รู้จะเขียนอะไรดีเพราะมันเบื่องานเขียนแบบเดิม เบื่อนิยายที่มีแต่ความรักแบบเดิมๆ แล้วเราก็ไม่รู้จะดึงจุดไหนมาเขียน เราตัน…ไม่รู้จะไปต่อยังไงเพราะไอเดียมันไม่เกิด ก็เป็นอยู่อย่างนั้นมา 5-6 เดือนตามเวลาที่บอกไว้เลยค่ะ ไอเดียไม่เกิดเพราะเราตีกรอบให้ตัวเอง อาการที่เกิดขึ้นจึงนำเรามาสู่การหาความรู้เพิ่มเติมในวันนี้ค่ะ
ช่วงเติมความรู้…เพื่อนำไปเสริมกับพรสวรรค์ที่มี
เราเป็นคนที่ชอบอ่านแล้วก็ลงมือเขียนแค่นั้น แต่เราไม่ได้มีความรู้เรื่ององค์ประกอบของเรื่องเล่า จะรู้แค่ว่าเนี่ย…เรื่องมันต้องมีแบบนี้นะ ตัวละครต้องเจอปัญหา พาเขาไปแก้ไข และจบเรื่องให้สวยงาม เรารู้แค่นั้นจากการอ่านที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เคยเรียกถูกว่าสิ่งนั้นคืออะไรและควรลำดับอย่างไรให้เรื่องของเราสนุก เราไม่เคยจัดเรียงลำดับความคิดในหัวให้เป็นระเบียบ จึงทำให้นำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ได้ไม่ดีนัก หลายคนที่อ่านงานให้ มักจะบอกว่าเราคงมีพรสวรรค์อยู่บ้างแหละถึงเขียนออกมาได้จนจบเรื่อง แต่เรามองว่าถ้าเราได้รู้มากขึ้น เราก็คงได้ใช้ความสามารถของเราได้อย่างเต็มที่มากกว่าจะพึ่งเรื่องพรสวรรค์ที่เราไม่ได้ให้ความสนใจเท่ากับความรู้ที่เราต้องการ
และแล้วก็ได้เข้าใจองค์ประกอบต่างๆ จากหลักสูตร Story BOWL ของพี่เมษ
คลาส Basic story ที่เรียนวันแรก ทำให้เรารู้สึกชอบมาก เพราะในคลาสมีการยกตัวอย่างที่ง่าย เห็นภาพชัด ยิ่งพี่เมษยกตัวอย่างหนังที่เราเคยดูขึ้นมา เราก็จะจินตนาการภาพตามได้ทั้งหมดว่าสิ่งที่อธิบายมันเป็นประมาณนี้นะ ได้รู้ว่า Core คืออะไร Genre คืออะไร ชัดขึ้นจากการยกตัวอย่างหนัง พี่เมษอธิบายเข้าใจง่าย แบบที่เราไม่ต้องมาย่อยข้อมูลอีกครั้ง เพราะข้อมูลนั้นถูกย่อยให้เข้าใจง่ายมาแล้ว ยิ่งมีการยกตัวอย่างที่ชัดเจน ยิ่งทำให้เราเข้าใจมากขึ้น เรียนวันแรกได้ลองทำ Idea Hive เราก็เพิ่งรู้ว่า…มันมีวิธีคิดไอเดียอย่างนี้ด้วยเหรอ แถมยังเป็นเรื่องราวได้จริงอีกด้วย ตรงนี้รู้สึกประหลาดใจกับกระบวนการของการสร้างเครื่องมือ และเวลาในการทำที่สั้นมากจนน่าตกใจ ซึ่งคลาสนี้ทำให้เราเข้าใจองค์ประกอบของเรื่องได้ลึกขึ้นมาก อาจจะเป็นเพราะเรามีพื้นฐานในการเขียนมาบ้างแล้ว และเป็นคนที่ชอบดูหนัง เมื่อมีการยกตัวอย่างให้เราเห็นภาพตาม สิ่งที่ดูยากจึงง่ายขึ้นมา และก็เหมาะที่เราจะเอาความรู้นี้มาใช้เป็นแกนหลักในการทำงานของเราอีกด้วย
เครื่องมือและองค์ความรู้ที่ได้สามารถทำให้งานเขียนว้าวมากขึ้น
หลังจากเรียน เรารู้สึกว่างานเขียนของตัวเองว้าวขึ้นมากจริงๆ ได้ลองใช้เครื่องมือบวกกับองค์ความรู้ที่พี่เมษสอนในคลาส 4 วัน เราเอามาใช้กับโครงการประกวดโครงการหนึ่ง จากตอนแรกที่ถอดใจไปแล้วว่าจะไม่ทำ ก็ตัดสินใจกลับมาทำอีกครั้งเพราะพี่คอปเตอร์บอกให้ลองทำดู เราเป็นคนเริ่มไวและจบเรื่องได้ไว และนอกจากนี้พี่คอปเตอร์ยังเห็นว่าเราเข้าใจการวางโครงเรื่องมากขึ้น ตอนนั้นก็เลยได้นำความรู้จากที่เรียนมาใช้ทันทีที่คลาสจบ อันดับแรกแจมนำเครื่องมือ “Character’s Map” มาใช้ และเครื่องมืออันนี้แหละที่ได้รับคำชมว่าตัวละครของเราแน่นมากกว่าเดิมและไม่หลุดคาแรคเตอร์เลย เราพยายามที่จะไม่ฝืนตัวละคร ต้องรู้จักเขาให้มากๆ ก่อน จากนั้นจึงปล่อยให้เขานำพาเรื่องให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างที่พี่เมษสอน ซึ่งตอนนั้นเรามีพล็อตในหัวบ้างแล้ว พอเรานำมาลง Story BOWL Canvas ก็เลยยิ่งทำให้เรื่องมันกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
เหลือไม่กี่วันในการส่งเรื่องเข้าประกวด…
ตอนนั้นแจมทิ้งเรื่องนี้ไปแล้วเพราะคิดว่าเราคงเขียนไม่ทันแน่ จนเหลือเวลาส่งงานประกวดแค่ 17 วันสุดท้าย พอมีคนบอกว่าแจมทำได้แน่ เราก็เลยตัดสินใจว่าจะลองดู โชคดีที่เขาไม่ได้กำหนดความยาวของเรื่อง แต่องค์ประกอบของเรื่องที่เขียนจะต้องครบ เพราะฉะนั้นมันมีดีเทลที่เราลืมจะไม่ได้ในหลายจุด เช่น ช่วงที่เกิด Turning Point, Learn Lesson เราพยายามเขียนให้ตัวละครไปให้ถึงจุดนี้ เพราะเรื่องราวที่จะนำไปสู่จุดนี้จะต้องมีรายละเอียดพอสมควร ไม่ใช่ว่าจะเปิดมาแล้วไปสู่จุดนั้นได้เลย เราจึงจะต้องเอาองค์ประกอบที่เพิ่งเรียนผ่านไปมาใช้ เพราะถ้าเราเรียนแล้วไม่ได้ใช้…เราจะลืม ซึ่งเรื่องนี้แจมเขียนไปเกือบ 80,000 คำในเวลา 16-17 วัน ช่างเป็นอะไรที่โหดมาก เพราะมีอะไรมากมายที่เราต้องทำในระยะเวลานั้นมากมาย วันหนึ่งต้องเขียนให้ได้หนึ่งบทถึงหนึ่งบทครึ่ง ทั้งเหนื่อยและล้า แต่มาถึงจุดนั้นเราก็ไม่ถอดใจแล้ว เพราะเราอยากทำให้คนที่เขาเชื่อมั่นในตัวเราภูมิใจ วันสุดท้ายที่ต้องส่งงานถึงขั้นลุ้นกันเป็นรายชั่วโมง สุดท้ายก็ทำสำเร็จ เรารู้สึกว่าเขียนเรื่องนี้แล้วตัวละครชัดเจนมาก ก็เลยรู้สึกว่าเราคลั่งรัก Story BOWL มากๆ เลยค่ะ (หัวเราะ)
งานเขียนของตัวเองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ดีขึ้นเพราะเรามีเป้าหมายแต่ละจุดชัดเจน แจมอาจจะยังใช้ Story BOWL Canvas ได้ไม่เก่งมากนัก แต่เราจะดึงจุดที่เรารู้สึกว่าอันนี้สำคัญเราต้องไม่ลืมนะ จะมีจุดที่รู้สึกว่าอันนี้แหละที่จะทำให้คนอ่านรู้สึกว่าสนุกแล้วก็ลุ้นไปกับเรื่อง เราต้องพาตัวละครเดินไปให้ถึงโดยเงื่อนไขหลายๆ ต้องไม่หลุด Theme ด้วยความเป็นนิยายที่ไม่ได้มีเวลาเขียนมากนัก บางช่วงก็ต้องร้อยเรียงเหตุการณ์ใน 1 บทให้ดี ในหนึ่งบทนั้นอาจจะมี 3 สถานที่ หรือหลายสถานการณ์อะไรอย่างนี้ รู้สึกว่ามันก็ยากนะ แต่พอเราได้รับคำชมว่าร้อยเรียงเรื่องได้ดีขึ้น เราจึงรู้สึกว่ามันคือส่วนหนึ่งที่เราพยายามพัฒนาตัวเองมาทั้งหมด มันอาจจะไม่ได้รับรางวัลหรืออะไรก็ตาม แต่ว่าเขียนจบ แล้วก็รู้สึกภูมิใจที่คนอ่านไม้แรกของเราเขาชอบ
คำว่า “สำเร็จ” ในมุมมองของแจม ผู้เริ่มต้นความฝันจากแพสชั่น
ความสำเร็จสำหรับแจม ไม่อยากเทียบกับตัวเงินเพราะความรู้หรือสิ่งที่เราได้รับมันเกินกว่าตัวเงินไปมาก ก่อนจะไปถึงความสำเร็จ เราต้องมีความรู้ ผ่านการลงมือทำที่มากพอ เพราะระหว่างทางนั้นมักจะเจอปัญหาหลายรูปแบบที่เข้ามาทดสอบจิตใจเราอยู่บ่อยๆ จึงจำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง หมั่นหาความรู้หลายๆ ด้านมาต่อยอดในงานของเรา และคนที่จะรับบทในการสอนใครสักคนให้เข้าใจได้ก็ต้องผ่านการคิดหรือกระบวนการย่อยข้อมูลเหล่านี้มาก่อนแล้ว เขาทำเพื่อให้เราเข้าใจง่ายขึ้น เมื่อเราเจอปัญหาและได้รับคำแนะนำ เราก็แค่นำสิ่งนั้นมาปรับใช้และเดินต่อไปข้างหน้าบนทางของตัวเอง เพราะว่าสิ่งที่คุณได้รับนั้น อาจจะตรงหรือไม่ตรงทั้งหมด แต่แน่นอนว่าสามารถนำมาปรับให้เป็นตัวเราได้ เรื่องความรู้…ยิ่งคุณฟังซ้ำก็จะยิ่งทำให้คุณจดจำรายละเอียดได้โดยที่ไม่ต้องเปิดสมุดอ่านทุกครั้งที่เจอปัญหา ยิ่งคุณจด…ก็ยิ่งทำให้คุณได้ทวนความรู้เหล่านั้น ของแจมจะใช้วิธีจดเวลาที่พี่เมษสอน การจดและจำในขณะที่เรากำลังมีสมาธิในการเรียนจะทำให้จำได้ดี และชี้วัดได้ในตอนที่เราเขียนเรื่องที่ส่งประกวดไปนี่แหละค่ะว่าเราไม่ลืมจริงๆ
“ความรู้ที่ได้มาสามารถใช้ไปตลอดชีวิต ไม่สามารถเทียบได้กับตัวเงิน”
มองความสำเร็จคือการได้ปลดล็อกปัญหา นำความรู้ไปใช้ แล้วรู้สึกว่าภูมิใจกับงาน
ตอนนี้แจมภูมิใจกับงานเขียนส่งประกวดมาก ถ้ามีใครถามก็จะกล้าที่จะบอกว่าเรื่องนี้เราเป็นคนเขียน เพราะที่ผ่านมาไม่ได้บอกใครว่าใช้นามปากกาอะไร เพราะรู้สึกว่างานยังไม่ดีพอที่จะโชว์ใครได้ ถึงแม้ว่างานพวกนั้นจะสร้างรายได้ให้เราไม่น้อยแล้วก็ตาม แต่เรารู้สึกว่ามันยังไม่เป็นมาสเตอร์พีซจริงๆ สำหรับเรา
ฝากกำลังใจถึงคนที่จะเดินไปข้างหน้าต่อในสายงานเขียน เราจะเติบโตได้ จะต้องมีการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
อยากบอกให้คุณตระหนักเรื่องการหาความรู้เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนที่ฟรีหรือส่วนที่ไม่ฟรีก็ตาม แต่ว่าองค์ความรู้ที่ได้เรียนรู้ ถ้าคุณได้นำมาใช้ นำมาปรับให้เป็นตัวคุณ สิ่งเหล่านั้นจะไปต่อยอดความเก่งของคุณ ความชำนาญของคุณให้ดียิ่งขึ้น ในเมื่อเรามีความรู้ ก็ควรทำให้ความรู้นั้นแปรสภาพเป็นรายได้ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการเขียนในยุคนี้คือการเขียนเพื่อสร้างรายได้ส่วนตัว เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีรายได้เข้ามาแล้วคุณไม่พัฒนาหรือต่อยอดสิ่งใด แจมมีความรู้สึกว่างานมันจะย่ำอยู่กับที่ คนที่คิดจะเดินไปข้างหน้าหรือคิดที่จะเติบโตมากกว่าเก่า ต้องมีการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพราะความรู้ใหม่ๆ ที่เราไม่รู้ก็อาจจะมีเพิ่มขึ้นมาเสมอ โลกนี้เดินหน้าด้วยการแข่งขัน เพราะฉะนั้นเมื่อคุณเจอปัญหา เจอจุดบอดหรือปัญหาที่ค้นพบแล้วว่าเป็นปัญหาของตัวเองจริงๆ คุณต้องรีบแก้ไข อย่าลังเลที่จะพัฒนาตัวเอง เพราะว่าเราไม่สามารถหยุดอยู่กับที่ได้ในขณะที่โลกหมุนไปทุกวัน
เป็นอย่างไรบ้างคะ กับการได้ฟังเส้นทางการเขียนที่เต็มไปด้วยแพสชั่นจากคุณแจม และพลังดีๆ ที่ส่งมอบมาให้เพื่อนสายงานนี้ทุกคน หวังว่าบทความนี้จะเป็นอีก 1 กำลังใจในการไม่หยุดพัฒนาและลงมือทำสำหรับทุกคนนะคะ หากเรามีวินัยกับสิ่งที่เรารัก ทีมงาน Story BOWL เชื่อว่าเราจะทำมันได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป และความสำเร็จในแบบของเราจะรอเราอยู่อย่างแน่นอนค่ะ
สำหรับใครที่อยากลองใช้เครื่องมือของ Story BOWL เหมือนที่คุณแจมใช้ สามารถลองเข้าไปทดลองใช้กันได้ที่นี่ค่ะ www.Storybowl.co/tools ซึ่งสามารถใช้ได้ฟรีกันคนละ 2 โปรเจ็กต์ พร้อม VDO การสอนคร่าวๆ จากพี่เมษ สำหรับเพื่อนๆ ที่ชื่นชอบบทความของเรา ก็ฝากกดแชร์และคอมเมนต์เป็นกำลังใจด้วยนะคะ
สัมภาษณ์โดย ทีมงาน Story BOWL
เรียบเรียงโดย พรหมพร สุวรรณโมลี